วันเดินทางไป - กลับ | ผู้ใหญ่ท่านละ | พักเดี่ยวเพิ่มเงิน | ราคาเด็กท่านละ | |
---|---|---|---|---|
25 ธ.ค. 67 - 31 ธ.ค. 67 | 69,999 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
01 ม.ค. 68 - 07 ม.ค. 68 | 69,999 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
05 ก.พ. 68 - 11 ก.พ. 68 | 63,944 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
12 ก.พ. 68 - 18 ก.พ. 68 | 63,944 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
19 ก.พ. 68 - 25 ก.พ. 68 | 63,944 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
05 มี.ค. 68 - 11 มี.ค. 68 | 63,944 บาท | 12,000 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
16.00 น. คณะพบเจ้าหน้าที่และมัคคุเทศก์ได้ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน H ประตูทางเข้า 4 อาคารผู้โดยสารเคาน์เตอร์สายการบินไทย (TG) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
18.45 น. ออกเดินทางสู่กรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน โดยเที่ยวบิน TG 349 (ใช้เวลาบินประมาณ 5.10 ชั่วโมง) เพลิดเพลินกับภาพยนตร์หลากหลายกับ จอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน
22.20 น. เดินทางถึงท่านอากาศยานกรุงอิสลามาบัด หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ศุลกากรเรียบร้อย (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย 2 ชม.)
นำท่านเข้าโรงแรมที่พัก Hill View หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองสวาต (Swat) เป็นเมืองที่นักโบราณคดีค้นพบวัดในพุทธศาสนาที่เชื่อว่ามีอายุเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยมีการค้นพบมา คือกว่า 2,000 ปี เดิมเป็นดินแดนที่ศาสนาพุทธเคยเจริญรุ่งเรืองในหุบเขาสวาต (Swat Valley) เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยโบราณ และครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม และการเรียนรู้ทางพุทธศาสนา ต่อมาถูกปกครองโดยราชวงศ์ Shahi ของศาสนาฮินดู ก่อนที่จะถูกพิชิตโดย Mahmud of Ghazni ที่เป็นชาวมุสลิมในศตวรรษที่ 11 ต่อมาหุบเขาแห่งนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์มุสลิมหลายราชวงศ์ ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถานในปี 2490
กลางวัน บริการการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านชมเจดีย์บุตการา (Butkara Stupa) อนุสรณ์สถานแห่งมรดกทางพุทธศาสนาในไคเบอร์ปัคตุนควา ถือเป็นอนุสรณ์สถานทางพุทธศาสนาที่มีความสำคัญและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ เจดีย์แห่งนี้มีอายุกว่า 2 ศตวรรษก่อนคริสตกาล โดยสร้างขึ้นครั้งแรกโดยจักรพรรดิอโศกแห่งราชวงศ์โมริยะเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เจดีย์แห่งนี้ได้รับการบูรณะและขยายหลายครั้ง จนกลายมาเป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญ เจดีย์บุตการาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงมรดกทางพุทธศาสนาอันล้ำค่าและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของหุบเขาสวาต ซึ่งมักเรียกกันว่า "หุบเขาแห่งพระพุทธเจ้า" นำท่านชมพิพิธภัณฑ์สวาต (Swat Museum) พิพิธภัณฑ์มีโบราณวัตถุจากแหล่งโบราณคดี 60 แห่งของเมืองสวาต ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่ 18 พิพิธภัณฑ์โบราณคดีสวาต ก่อตั้งขึ้นที่ Saidu Sharif ในปี 1950 นำท่านสู่ตลาดมิงโกรา (MINGORA BAZAR) เป็นศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในหุบเขาสวาต ตลาดโบราณที่มีชื่อเสียงในการซื้อผ้า หัตถกรรม เสื้อผ้า และสิ่งจำเป็นอื่นๆ อิสระให้ท่านเลือกช้อปปิ้งสินค้าตามอัธยาศัย
ค่ำ บริการการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่ที่พัก The One Hotel Swat หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่เมืองสกีรีสอร์ท มาลัมจับบ้า (Malam Jabba Ski Resort) เป็นสกีรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาฮินดูกูชช่วงของหุบเขาสวาต ที่ระดับความสูง 2,804 เมตร (9,199 ฟุต) รีสอร์ทตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Malam Jabba เป็นสกีรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในประเทศปากีสถาน รีสอร์ทสกี Malam Jabba จุดเด่นของรีสอร์ทคือลานสกีที่ทอดยาวกว่า 800 เมตร รีสอร์ทสกีแห่งนี้เป็นผลจากความร่วมมือระหว่างปากีสถานและออสเตรีย รีสอร์ทแห่งนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย
กลางวัน บริการการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
อิสระให้ท่านสนุกอย่างเต็มที่กับการเล่นหิมะ หรือกิจกรรมอื่นๆ เช่น นั่งกระเช้าชมวิว 360 องศาของสกีรีสอร์ท สกี หรือ สโนบอร์ด (ไม่รวมค่าเช่าอุปกรณ์ ) จากนั้นได้เวลอันสมควรนำท่านกลับสู่เมืองสวาต
ค่ำ บริการการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่ที่พัก The One Hotel Swat หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่เมืองอิสลามาบัด (Islamabad) เป็นเมืองหลวงของประเทศปากีสถาน กรุงอิสลามาบัดสร้างขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อเป็นเมืองหลวงของประเทศแทนนครการาจี อิสลามาบัดเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศปากีสถานเป็นอันดับที่ 9 อิสลามาบัดตั้งอยู่ใน ที่ราบสูงโพโธฮาร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน อยู่ระหว่างเขตรวัลปินดี (Rawalpindi District) อุทยานแห่งชาติเทือกเขามาร์กัลลา (Margalla Hills National Park) ทางเหนือ พื้นที่บริเวณนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างปัญจาบ และ แคว้นแคบาร์ปัคตูนควา โดยมี Margalla Pass เป็นเหมือนประตูเชื่อมต่อระหว่างสองพื้นที่นี้ นำท่านชมอนุสาวรีย์แห่งชาติ Pakistan Monument และพิพิธภัณฑ์มรดกที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของ Shakarparian Hills ใน อิสลามาบัด, ประเทศปากีสถาน อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความสามัคคีของชาวปากีสถาน เพื่อเชิดชูวีรกรรมของวีรุบุรุษชาวปากีสถานผู้พลีชีพ "วันนี้" ของพวกเขาเพื่อ "พรุ่งนี้" ที่ดีกว่า ด้วยระดับความสูงที่ตั้งของอนุสาวรีย์นี้ทำให้สามารถมองเห็นอนุสาวรีย์ได้จากทั่วทั้ง Islamabad-Rawalpindi metropolitan area และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอิสลามาบัด
กลางวัน บริการการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านสู่หมู่บ้าน Saidpur เป็นหมู่บ้านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขามาร์กัลลา (Margalla Hills) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของปากีสถาน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เห็นได้จากการมีทั้งมัสยิด วัดฮินดู และซิกข์สถาน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน แสดงถึงการอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนาในสมัยโบราณ ซึ่งยังคงมีร่องรอยของวิถีชีวิตและความเชื่อที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นำท่านสู่ย่านช้อปปิ้งอิสระให้ท่านช้อปปิ้งชมวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นตามอัธยาศัย
ค่ำ บริการการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน
นำท่านเข้าสู่ที่พัก Hill View Hotel หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองลาฮอร์ (Lahore) เป็นเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ โดยแม่น้ำราวีเป็นสายน้ำหลักหล่อเลี้ยง เป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของภูมิภาคเอเชียใต้ อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นปัญจาบ ใกล้กับชายแดนรัฐปัญจาบของอินเดีย ทั้งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคปัญจาบ และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีเสรีนิยมก้าวหน้าและเป็นสากลมากที่สุดในปากีสถาน และเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโมกุลอันยิ่งใหญ่ ที่มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าอักบาร์มหาราช จักรพรรดิชาห์ชะฮัน และออรังเซพผู้มั่งคั่งซึ่งต่างเคยพำนักอยู่ที่นี่เดิมเคยอยู่และเคยภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ
กลางวัน บริการการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านชมประตูเดลี (Delhi Gate) เป็นประตูประวัติศาสตร์ 1 ใน 6 ประตูของกำแพงเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน ประตูนิวเดลีและชาฮีฮัมมัมที่อยู่ติดกันได้รับการบูรณะในปี 2558 โดย Aga Khan Cultural Service ประเทศปากีสถาน ประตูลาฮอรีเป็นทางเข้าหลักของป้อมแดงในเดลีป้อมนี้สามารถเข้าถึงได้ผ่านถนนที่มีหลังคาซึ่งรายล้อมไปด้วยอพาร์ตเมนต์ที่มีเสาโค้งที่เรียกว่าChhatta Chowkประตูนี้ตั้งอยู่บนกำแพงด้านตะวันตกของป้อมและได้รับชื่อนี้เนื่องจากเป็นทางไปสู่เมืองลาฮอร์ ทางเข้ารองคือประตูเดลีประตูทางเข้าประกอบด้วยอาคารสามชั้น แต่ละชั้นตกแต่งด้วยแผงสี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า และโค้งแหลม ล้อมรอบด้วยหอคอยทรงแปดเหลี่ยมครึ่งซีก มีศาลาแปดเหลี่ยมเปิดโล่งสองหลัง ประตูทางเข้าทั้งหมดบุด้วยหินทรายสีแดง ยกเว้นหลังคาของศาลาที่ใช้หินสีขาว ระหว่างศาลาสองหลังมีฉากกั้นที่ทำจากฉัตรีขนาดเล็ก ที่มีโดมหินอ่อนขนาดเล็กเจ็ดโดม กำแพงทั้งหมดมีปราการรูปเปลวเพลิง ออรังเซพ (ค.ศ. 1658-1707) เป็นผู้ออกแบบประตูนี้โดยมีปราการ สูง 10.5 เมตร
ค่ำ บริการการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
นำท่านเข้าสู่ที่พัก Lahor Four Points By Shortan หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชมป้อมลาฮอร์ (Lahore Fort) ป้อมลาฮอร์ เป็นป้อมปราการในเมืองลาฮอร์ใน แคว้นปัญ จาบประเทศปากีสถานป้อมปราการนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของกำแพงเมืองลาฮอร์และแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่มากกว่า 20 เฮกตาร์ มีอนุสรณ์ สถานสำคัญ 21 แห่ง ซึ่งบางแห่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยของจักรพรรดิอักบาร์ป้อมลาฮอร์โดดเด่นเนื่องจากได้รับการสร้างขึ้นใหม่เกือบทั้งหมดในศตวรรษที่ 17 เมื่อจักรวรรดิโมกุลรุ่งเรืองและมั่งคั่งสูงสุด สถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างอิสลามและฮินดู มีลักษณะเด่นคือหินอ่อนหรูหราพร้อมลวดลายดอกไม้เปอร์เซียฝังในขณะที่ประตู Alamgiri ที่ยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของป้อมนี้สร้างขึ้นโดย ออรังเซพจักรพรรดิ โมกุลองค์สุดท้ายที่ยิ่งใหญ่และอยู่ตรงข้ามกับมัสยิด Badshahi ที่มีชื่อเสียงหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโมกุลป้อมลาฮอร์ถูกใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิรันจิต ซิงห์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิซิกข์ ชาวซิกข์ได้เพิ่มสิ่งก่อสร้างในป้อมนี้หลายส่วน จากนั้นก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอินเดียตะวันออกหลังจากที่ผนวกแคว้นปัญจาบหลังจากที่พวกเขาได้รับชัยชนะเหนือชาวซิกข์ ในยุทธการ ที่คุชราตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1849 ในปี ค.ศ. 1981 ป้อมนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก เนื่องจากมีอนุสรณ์สถานโมกุลอันโดดเด่นซึ่งมีอายุย้อนไปถึงยุคที่จักรวรรดิรุ่งเรืองในด้านศิลปะและสุนทรียศาสตร์ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ในปี 1981 ป้อมลาฮอร์เป็นพระราชวังโบราณสร้างโดยจักรพรรดิอักบาร์ (Akbar The Great) ในระหว่างปี 2099-2149 เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถเห็นความแตกต่างของสถาปัตยกรรมโมกุล ในแต่ละยุคสมัยของผู้ปกครองที่ได้สร้างต่อเติมมาเรื่อย ๆ นำ
กลางวัน บริการการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
ท่านเข้าชมมัสยิดบัดชาอิ (Badshahi Mosque) มัสยิดบาดชาฮี หมายถึง มัสยิดหลวงเป็นมัสยิดใหญ่นิกายซุนนี สร้างขึ้นในสมัยโมกุล ตั้งอยู่ที่ลาฮอร์ แคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของป้อมลาฮอร์ และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในจุดสนใจที่โดดเด่นแลมีชื่อเสียงที่สุดของลาฮอร์มีการบูรณะใหญ่นับตั้งแต่ปี 1939 เป็นต้นมาภายใต้การระดมทุนโดยสีกันทร ฮายัต ข่านและภายใต้การดูแลของสถาปนิก นาวับ อาลัม ยัร ยุง บะฮาดูรเนื่องจากข่านมีส่วนอย่างมากในกาทำนุบำรุงมัสยิดครั้งใหญ่นี้ ร่างของเขาเมื่อเสียชีวิตได้นำไปฝังอยู่เยื้องกับมัสยิดบาดชาฮีที่ฮะญูรีบาฆ มัสยิดบาดชาฮีสร้างขึ้นโดยดำริของจักรพรรดิเอารังเซบ เริ่มก่อสร้างในปี 1671 แล้วเสร็จในปี 1673 และเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงปี 1986 มัสยิดบาดชาฮีถือเป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมโมกุล ภายนอกประดับด้วยหินทรายแดงแกะสลักประกอบงานฝังหินอ่อน ถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิโมกุล และปัจจุบันยังเป็นมัสสยิดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในปากีสถาน หลังจักรวรรดิโมกุลล่มสลายจากการรุกรานของอังกฤษ จักรวรรดิอังกฤษใช้งานมัสยิดเป็นอาคารกองพล ปัจจุบันมัสยิดบาชาฮีเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของประเทศปากีสถาน
นำท่านสู่บริเวณชายแดนวากาห์ (Wagha Border) ด่านพรมแดนกั้นระหว่างเมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน และเมืองอัตตริ ประเทศอินเดีย ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “กำแพงเบอร์ลินแห่งชมพูทวีป” นำท่านชมพิธีสวนสนามปิดด่านอินเดีย-ปากีสถาน (Wagha-Attari Border Ceremony) ซึ่งจะ จัดขึ้นในทุกช่วงเย็นประมาณ 16.30 น. ของทุกวัน จนเป็นสัญลักษณ์แห่งการให้เกียรติ “มิตรและศัตรู” ของทั้งสองประเทศ พิธีการนี้จึงเป็นเหมือนสนามประลองขนาดย่อมที่มีไว้เพื่อประชันลีลาและความสง่างามระหว่างกัน โดยทหารปากีสถานแต่งกายในชุดทหารสีดำและสวมหมวกทรงคล้ายพัดสีดำ ส่วนทหารอินเดียจะอยู่ในชุดทหารสีน้ำตาล สวมหมวกทรงคล้ายพัดสีแดง ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับเมืองลาฮอร์
ค่ำ บริการการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบินลาฮอร์
23.45 น. ออกเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานคร โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 346
06.10 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดีภาพและความประทับใจ
เงื่อนไขการให้บริการ
99 รัชดาภิเษก 30 แยก 1 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900